ลูกซนมาก หรือ ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น คุณแม่จะแยกได้อย่างไร จัดการอย่างไรดี ?

06 April 2017
40169 view

โรคสมาธิสั้น

ความซนกับเด็กมักเป็นของคู่กันจนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเด็กซนมากเกินไป ไม่อยู่นิ่ง ดูไม่มีสมาธิ หุนหันพลันแล่น จนกระทบต่อการเรียนและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นั่นคือสัญญาณเตือน ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งเฉย เพราะลูกคุณเป็นโรคสมาธิสั้น ต้องรีบแก้ไข 

โรคสมาธิสั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร 

โรคสมาธิสั้น พบในเด็กไทยเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปีคิดเป็นร้อยละ5 ของเด็กวัยเรียน เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า โดยปกติโรคสมาธิสั้นจะมี 3 อาการที่คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ คือ

  1. ซนมาก
  2. ขาดสมาธิ
  3. หุนหันพลันแล่น

แต่ไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง3อาการตามที่กล่าวมาอาจมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออาจมีครบทุกอย่างเลยก็ได้ โดยอาการเหล่านี้จะต้องเกิดก่อนอายุ 12 ปี

อาการของโรคสมาธิสั้น 

1.อาการซนมากอยู่ไม่นิ่ง

จำแนกเป็นข้อย่อยดังนี้

  1. ยุกยิก อยู่ไม่สุข
  2. นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ ขณะอยู่ที่บ้านหรือในห้องเรียน
  3. ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ
  4. พูดมาก พูดไม่หยุด
  5. เล่นเสียงดัง
  6. ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
  7. ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถามโดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
  8. รอคอยไม่เป็น
  9. ชอบขัดจังหวะหรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่


2.อาการขาดสมาธิ 

จำแนกเป็นข้อย่อดังนี้

  1. ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ
  2. ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น
  3. ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
  4. ไม่สามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอียดได้  ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ
  5. ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
  6. มีปัญหาหรือพยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
  7. วอกแวกง่าย
  8. ทำของใช้ส่วนตัว หรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียน หายอยู่บ่อยๆ
  9. ขี้ลืมบ่อยๆ

3.อาการหุนหันพลันแล่น

เด็กจะไม่รู้จักการรอคอย ต้องตอบโต้ทันที สังเกตได้จากเด็กจะชอบพูดสวน ชอบโพล่งขึ้นมากลางการสนทนา หรือชอบแซงคิว

หมายเหตุ : หากเด็กคนใดมีลักษณะอาการของทั้ง3ข้อรวมกันมากกว่า 6 อาการขึ้นไป เด็กคนนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น

ทำอย่างไร เมื่อลูกเป็นโรคสมาธิสั้น 

หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้น ควรปรึกษาแพทย์ เพราะโรคสมาธิสั้นจำเป็นต้องทำการรักษา หากปล่อยไว้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว การอยู่ร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน และการเรียนของเด็กเอง รวมถึงเมื่อเด็กโตขึ้น ความซับซ้อนทางอารมณ์ก็จะมีมากขึ้น เด็กอาจรู้สึกมีปมด้อยถ้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วย นอกจากนี้ เด็กสมาธิสั้นยังมีแนวโน้มที่จะโตไปเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อ่อนไหวต่อคำพูดของคนอื่น

การรักษาโรคสมาธิสั้น 

การรักษาจะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ โดยทั่วไปการรักษาจะเริ่มจากการปรับพฤติกรรม มีการสร้างกรอบที่เหมาะสมให้กับเด็ก การย่อยงานโดยใช้คำสั่งที่สั้นและให้เด็กมีการทวนคำสั่งซ้ำ การจัดห้องเรียนและสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนให้เหมาะสมกับเด็ก เช่น ให้เด็กนั่งเรียนแถวหน้าสุด ใกล้โต๊ะครู เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะมีการสื่อสารและประสานกับคุณพ่อคุณแม่และคุณครูที่โรงเรียนอย่างใกล้ชิด ในบางกรณีที่เป็นมากหรือมีโรคร่วมอาจต้องให้ยาในการรักษาร่วมด้วย

การเลี้ยงดูมีส่วนทำให้โรคสมาธิสั้นดีขึ้นได้ 

การรักษาจากแพทย์เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ลูกของคุณดีขึ้นจากการที่เป็นอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือผู้เลี้ยงดูเด็กเพราะการเลี้ยงดูแบบปรับพฤติกรรมในทุกๆวัน จำกัดบางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแบบมีทางเลือกอื่น ช่วยให้สมาธิสั้นของลูกดีขึ้นอย่างมาก กิจกรรมที่ผู้เลี้ยงต้องปรับได้แก่ 

  1. งดเลี้ยงลูกด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี หลีกเลี่ยงการให้ลูกอายุต่ำกว่า 2 ขวบดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือเล่นเกม ถ้าอายุมากกว่า 2 ขวบให้อนุญาตได้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงสำหรับทุกจอ
  2. สร้างวินัยให้ลูกเพื่อให้ลูกรู้จักควบคุมตัวเอง  ให้กิน นอน เล่น เป็นเวลา ให้เด็กทราบว่าเวลาไหนควรทำอะไรไม่ควรทำ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นควรทำความเข้าใจกับธรรมชาติของโรคสมาธิสั้น และใช้ข้อดีของโรคให้เป็นประโยชน์ การให้ลูกทำกิจกรรมงานบ้านต่างๆภายในบ้านเพื่อให้สมาธิจดจ่อในสิ่งนั้นๆ และการเล่นกีฬาช่วยลดอาการยุกๆยิกๆของเด็กได้เป็นอย่างดี สู้ๆนะคะ Mamamexpert เป็นกำลังใจให้ทุกบ้านค่ะ

บทความแนะนำเพิ่มเติม

1. วิธีรับมือกับเด็กดื้อให้ได้ผล

2. สาเหตุลูกก้าวร้าวรุนแรงเกิดจากอะไร

3. โรคดื้อ พ่อแม่ยุคปัจจุบันรู้เท่าทันโรคดื้อของลูก เช็คสิ!!!

เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team