10 เทคนิคทางจิตวิทยา เลี้ยงลูกให้มีภูมิต้านทานอุปสรรคเพื่อก้าวสู่โลกยุคใหม่อย่างมั่นคง

30 April 2021
3761 view

ไม่ง่ายเลย!!! บอกเลยว่าในยุคสมัยที่ทุก ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี สภาพสังคม การใช้ชีวิต ทัศนคติ จุดมุ่งหมายของชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปตาม ๆ กัน แน่นอนว่าผู้ใหญ่อย่างเราเองก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับบางเรื่องที่แปลกใหม่เข้ามาให้แก้อย่างรวดเร็ว จนบางทีก็ไม่สามารถตั้งรับได้ดีเท่าที่ควร เรียกว่าอ่อนด้อยเรื่องประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปเลยทีเดียว แล้วลูกเราล่ะ จะรับมือกับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พ่อแม่กังวลอยู่ในทุก ๆ วัน แต่อย่าเครียดเกินไปค่ะ Mamaexpert ไม่ยอมให้คุณพ่อคุณแม่เผชิญเรื่องนี้อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน เพราะเราจะแก้ และเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยไปพร้อม ๆ กัน กับวิธีต่อไปนี้ แต่!!! ก่อนอื่นมีสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่อย่างเราต้องรู้คือ ทุก ๆ อย่างบนโลกใบนี้ย่อมไม่สมบูรณ์แบบ ทุกอย่างมีผิด มีพลาดด้วยกันทั้งนั้น

ทำความเข้าใจ ทุกอย่างบนโลกย่อมมีผิด มีพลาด แต่ทุกคนต้องรู้จักก้าวต่อไป

ใช่แล้วค่ะ การก้าวต่อ ไม่ว่าเราจะเคยพลาด เสียหลักกับปัญหาหนักมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้คือ ล้มแล้วต้องลุก!!! ลุกให้ได้ แก้ให้เป็น มีภูมิต้านทานกับอุปสรรคต่างๆ ไม่หนีปัญหา พร้อมเรียนรู้แก้ไข ยอมรับ และก้าวเดินต่อไป ซึ่งทักษะเหล่านี้พ่อแม่ยุคใหม่อย่างเราต้องมี และต้องปลูกฝัง ให้ลูกมีทักษะเหล่านี้ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันต่อสู้กับปัญหา หรือรับมือกับปัญหาที่เข้ามาต่อกรได้อย่างมั่นคง ด้วย 10 เทคนิคทางจิตวิทยา

10 เทคนิคทางจิตวิทยา เลี้ยงลูกให้มีภูมิต้านทานอุปสรรคเพื่อก้าวสู่โลกยุคใหม่อย่างมั่นคง

เพื่อให้ลูกก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และพร้อมรับมือเสมอ Mamaexpert มี 10 เทคนิคทางจิตวิทยา เลี้ยงลูกให้รู้จักล้มแล้วลุก เพื่อก้าวสู่โลกยุคใหม่อย่างมั่นคง ง่าย ๆ ตามนี้ค่ะ

1. เข้าใจธรรมชาติของลูก เป็นข้อสำคัญของการเลี้ยงลูกก็ว่าได้ เพราะการที่พ่อแม่เข้าใจธรรมชาติของลูกแต่ละช่วงวัย จะช่วยให้สามารถรับมือกับพฤติกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเลี้ยงลูกได้เหมาะสม

2. สอนจริยธรรม ใจเขาใจเรา รู้ผิดรู้ชอบ รับผิดชอบเป็น เห็นคุณค่าผู้อื่น รู้จักให้อภัย กล่าวขอโทษ ข้อนี้ เป็นอีกพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพราะเมื่อลูกจักรู้ผิด รู้ถูก เห็นคุณค่าของผู้อื่น รู้จักกล่าวขอโทษเมื่อทำผิด จะทำให้ลูกวางตัวอยู่ในสังคมได้เหมาะสม

3. เชื่อมสัมพันธ์กับสังคม การเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือผู้ใหญ่ เป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยให้ลูกใช้ชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ เพราะการเป็นมิตรกับทุกคน ย่อมทำให้ลูกพร้อมเรียนรู้และได้รับโอกาสที่จะเรียนรู้จากคนอื่นได้มากขึ้น

4. ให้อิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระในการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหา หรือการทำสิ่ง ๆ ต่าง ด้วยเหตุและผล พ่อแม่ควรให้ลูกมีอิสระในการตัดสินใจ แนะแนวทางได้ ไม่ใช่การบังคับ พร้อมทั้งให้เหตุผล บอกข้อดี ข้อเสียของแต่ละสิ่งที่ลูกจะเลือก แล้วให้ลูกค่อย ๆ เลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง และสอนให้ลูกพร้อมยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกของลูก

5. เรียนรู้ที่จะผิดพลาด และก้าวข้ามให้เร็วที่สุด การก้าวพลาด หรือทำผิด ทำพลาด ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เพราะมนุษย์มีผิดมีพลาดด้วยกันทั้งนั้น และสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูก คือ การให้ลูกรู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ 100% แต่การได้พยายาม และเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด ยอมรับ ไม่โยนความผิดให้คนอื่น ค่อย ๆ หาทางแก้ไขด้วยสติ รีบตั้งหลัก แล้วก้าวข้ามอุปสรรคและสิ่งที่พลาดด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว คือสิ่งที่ทำให้เป็นคนอย่างสมบูรณ์แบบ

6. ให้อิสระลูก แต่ไม่ใช่ละเลย ถึงแม่พ่อแม่จะให้อิสระลูกในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่ควรละเลยลูก ทิ้งขว้างหรือให้ลูกคิดเพียงลำพัง พ่อแม่อย่างเราต้องอยู่คอยเป็นเพื่อน เป็นพ่อแม่ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ เมื่อลูกต้องการความช่วยเหลืออยู่เสมอ

7. ช่วยเหลือลูกได้ แต่ไม่ใช่ช่วยเสมอ การที่พ่อแม่ช่วยเหลือลูกนั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่การที่จะช่วยลูกเสมอ จะทำให้ลูกไม่รู้จักช่วยตัวเอง หรือมีชีวิตเป็นของตัวเอง อาจทำให้ลูกขาดความมั่นใจไปได้ ดังนั้นควรช่วยเท่าที่เหมาะสม ให้ลูกพยายามแสดงความสามารถช่วยเหลือตัวเอง ด้วยตัวเองให้มากที่สุด พ่อแม่ทำหน้าที่ได้เพียงซัพพอร์ต เป็นเซฟโซนของลูก

8. เรียนรู้โลกกว้าง สร้างประสบการณ์ด้วยตัวลูกเอง การที่พ่อแม่ให้ลูกได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ได้ทำอะไรต่ออะไรด้วยตัวเองมากกว่าการจับมือทำ ย่อมทำให้ลูกงัดทุกทักษะต่าง ๆ ที่มีออกมาใช้ได้มากขึ้น ทำให้ลูกมีประสบการณ์จริงที่มากกว่าคำบอกเล่า

9. เท่าทันโซเซียล แต่ไม่ตกเป็นเหยื่อ ข้อนี้เป็นอีกเรื่องที่พ่อแม่ต้องสอนลูก เพราะปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมโซเซียลเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตของคนในสังคมมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าข่าวสาร ตัวบุคคล การชื่นชม การบลูลี่ หรือถูกคุมคาม เกิดได้จากสังคมโซเซียลทั้งหมด การสอนให้ลูกรับมือ รับข่าวสารอย่างมีสติ และไม่ตกเป็นเหยื่อของสังคมโซเซียลจะช่วยให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หรือมีภูมิต้านทางสังคมมากขึ้น

10. สุขภาพดี โภชนาดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องสุขภาพและโภชนาการที่ดีต้องมาควบคู่กัน เพราะสองสิ่งนี้คือต้นทุนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ลูกรับมือกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ การส่งเสริมให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงเริ่มได้จากการให้ลูกได้ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมกับช่วงอายุ อย่างอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสมอง เช่น ดีเอชเอ, หรือช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ซินไบโอติก รวมทั้ง Human Milk Oligosaccharides (HMOs) ชนิด 2'-FL ที่จะช่วยให้ลูกมีสมองที่พร้อมเรียนรู้ และร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้อย่างไร้อุปสรรค เพราะจากงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่าหากลูกได้รับสารอาหารเสริมภูมิต้านทานอย่าง ซินไบโอติก ซึ่งทำงานร่วมกับ 2’-FL จะยิ่งช่วยเสริมภูมิต้านทานให้มาก และสามารถลดโอกาสเจ็บป่วยจากโรคท้องเสียจากโรต้าไวรัส** ไข้หวัดใหญ่** RSV การติดเชื้อทางลมหายใจ และภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ การได้รับ ดีเอชเอ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและสมองของลูกเพิ่มขึ้น

10 เทคนิคที่นำมาฝากกัน ไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซะทีเดียว แต่ Mamaexpert เชื่อว่าพ่อแม่อย่างเราจะประคับประคองลูกให้ก้าวข้ามทุกอุปสรรคไปสู่สังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง เราจะเป็นกำลังใจให้กันเสมอค่ะ สู้ ๆ นะคะทุกคน 

เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team

สนับสนุนบทความโดย ไฮคิว 1 พลัส ซูเปอร์โกลด์ สูตรภูมิต้านทานที่ดีที่สุด *
*เมื่อเทียบกับ ไฮคิว 1 พลัส ซูเปอร์ โกลด์ สูตรเดิม ไฮคิว 1 พลัส ซูเปอร์ โกลด์ สูตรใหม่ มี 2’-FL, วิตามินเอ, วิตามินบี6 และธาตุเหล็ก เพิ่มขึ้นจากสูตรเดิม วิตามินเอ, วิตามินบี6 และธาตุเหล็ก มีส่วนช่วยในการทำหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

**Pre-clinical data, a mixture of GOS/lcFOS and 2’-FL (
ซินไบโอติกทำงานร่วมกับ 2’-FL ช่วยลดความรุนแรงของท้องเสียจากโรต้าไวรัสได้ดีกว่า 2’-FL อย่างเดียว)

#ล้มแล้วรู้ใหม่ได้ไม่รู้จบ #ภูมิต้านทานอุปสรรคสร้างได้