สิว ขณะตั้งครรภ์ป้องกันได้

18 December 2012
5516 view

 

ป้องกันการเกิดสิว

1. รักษาความสะอาดของหน้าสม่ำเสมอ อย่าเอามือจับที่ใบหน้าจะช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ
2. คุณแม่ที่หน้ามันอยู่แล้ว ถ้ามีผมปรกหน้าผากให้ใช้ที่คาดผมจะลดการเกิดสิวบริเวณหน้าผากค่ ะ
3. ล้างมือบ่อยๆ
4. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
5. นอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
6. บางคนที่ไม่เคยมีสิวมาก่อน แต่พอตั้งครรภ์มีสิวเยอะ อาจเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ ให้คุณแม่ทำใจให้สบายนะคะ หลังคลอดจะกลับมาหน้าใสเหมือนเดิมค่ะ
7. สำหรับคุณแม่ที่เป็นสิวอักเสบมาก ก่อนจะใช้ยาควรปรึกษาคุณหมอ และแจ้งว่าตั้งครรภ์ด้วยทุกครั้ง โดยคุณหมออาจจะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxycillin หรือยาทาเฉพาะที่ ซึ่งไม่เป็นอันตรายกับลูกค่ะ

ดังนั้นสำหรับคุณสาวๆ ที่วางแผนว่าจะตั้งครรภ์ แถมไม่ได้คุมกำเนิดจึงต้องระมัดระวังในการใช้ยานะคะ หากจำเป็นต้องกินยาอาจจะต้องตรวจปัสสาวะให้แน่ใจว่าไม่ตั้งครรภ์ หรือรอให้ประจำเดือนมาก่อนจึงเริ่มใช้ยา แต่สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้ว และทราบว่าตนเองได้รับยาตัวนี้ไปแล้ว ควรรีบปรึกษาสูติแพทย์ของคุณแม่ทันที โดยคุณหมอจะตรวจประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน อธิบายถึงผลของยา และอธิบายทางเลือกต่างๆ ให้กับคุณแม่ค่ะ ส่วนการตัดสินใจจะยุติการตั้งครรภ์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณแม่ และครอบครัวค่ะ
จริงๆ แล้วการรักษาสิวที่ดียิ่งกว่าการกินยาคือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง และทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน เพราะเมื่อสวยจากภายใน สิวที่เป็นอุปสรรคของความสวยก็ไม่มากล้ำกรายแล้วค่ะ

คุณแม่บางท่าน เป็นกังวลเหลือเกินเมื่อตั้งครรภ์แล้วเป็นสิว ถ้าอยากใช้ยารักษาจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

งดเร็วชะลอความเสี่ยง
หากคุณแม่กินยาในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (0-14 สัปดาห์) ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสร้างอวัยวะที่สำคัญของร่างกายเกือบทั้งหม ด จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้มากถึง 28% แต่ถ้าตั้งครรภ์ภายใน 1 เดือนหลังจากหยุดยา ความเสี่ยงจะลดลงเหลือประมาณ 4% เรียกว่าหยุดใช้ยาเร็วเท่าใด ความเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยในครรภ์ยิ่งลดลงเท่านั้นค่ะ

6 ข้อสำคัญก่อนใช้ยา
ทางที่ดีที่สุดคือคุณแม่ต้องเคร่งครัดในเรื่องต่อไปนี้หากคิดจะ ใช้ยากลุ่มนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ลูกจะพิการค่ะ
1. หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาสิว คุณแม่ต้องตรวจการตั้งครรภ์ก่อน ตรวจอย่างละเอียดจากคุณหมอหรือจากชุดการตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตน เอง (ตรวจจากปัสสาวะ) อย่างน้อย 2 ครั้ง โดยตรวจห่างกัน 2 สัปดาห์
2. เมื่อแน่ใจว่าไม่ตั้งครรภ์ ควรเลือกวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มคุมกำเนิดก่อนกินยาอย่างน้อย 1 เดือน และเมื่อต้องการหยุดใช้ยาก็ให้คุมกำเนิดต่อเนื่องไปอีก 1 เดือนเช่นกัน เนื่องจากยาสะสมอยู่ในร่างกายนาน เรียกว่ากว่า 1 เดือนยาจึงจะค่อยสลายไปค่ะ
3. หากกินยาแล้วพบว่าตั้งครรภ์ ควรหยุดยาทันทีและรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
4. สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง ไม่ควรใช้ยานี้ และควรเก็บยาให้พ้นจากมือเด็ก
5. ก่อนใช้ยาต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ ต้องอ่านให้เข้าใจ และเซ็นชื่อในใบยินยอมรับการรักษา
6. นอกจากการตรวจการตั้งครรภ์ ควรได้รับการตรวจการทำงานของตับ และระดับไขมันในเลือดก่อนใช้ยาด้วยค่ะ